เทคโนโลยี

แคสสิดี เจค็อบสัน เริ่มใช้ติ๊กตอก (TikTok) เมื่อเธออายุ 13 ปี โดยเธอโพสต์วิดีโอที่เธอเต้นลงในแอปพลิเคชันแชร์วิดีโอสั้นยอดนิยมนี้

วิธีเล่นเกมส์ หกปีต่อมา บัญชี Casssidy_J ของเธอ มีผู้ติดตามถึง 1.5 ล้านบัญชี โดยส่วนใหญ่คลิปของเธอจะเป็นคลิปเต้นและคลิปเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพผม โดยเธอหวังว่า จะใช้พื้นที่ติ๊กตอกในการเริ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ดูแลผมหยิก และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนหันมารักผมหยิกตามธรรมชาติของตนอย่างไรก็ตาม ความฝันของเจค็อบสันและครีเอเตอร์ที่ใช้แพลตฟอร์มติ๊กตอกอื่น ๆ อาจอันตรธานหายไป เนื่องจากสมาชิกสภาคองเกรสกดดันให้รัฐบาลสหรัฐฯ แบนแอปพลิเคชั่นติ๊กตอกนี้ในสหรัฐฯ โดยกล่าวว่า ติ๊กตอกอาจถูกใช้เก็บข้อมูล ใข้เซนเซอร์เนื้อหา และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตของเด็ก ตามรายงานของรอยเตอร์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ติ๊กตอกเผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เรียกร้องให้บริษัทเจ้าของติ๊กตอกในจีนขายหุ้นทิ้ง หรือไม่เช่นนั้นติ๊กตอกอาจถูกแบนในสหรัฐฯทางด้านเจค็อบสันได้เตรียมนำเนื้อหาที่เธอโพสในติ๊กตอกไปโพสในพื้นที่ออนไลน์อื่น เช่น อาจสร้างเนื้อหาใหม่ในฟังก์ชัน Shorts ของยูทูป หรือนำคลิปในติ๊กตอกไปโพสต์ในอินสตาแกรมแทน หากไบต์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทจีนเจ้าของติ๊กตอก ไม่ได้รับอนุญาตให้บริการแอปฯ ในสหรัฐฯ อีกต่อไป

อ่านข่าวเพิ่มเติม : เจ้าของ ‘แชทจีพีที’ ออกระบบตรวจจับใช้ ‘เอไอ’ ทำการบ้าน?

จากกรณี ทนายอนันตรักษ์ เพ็ชรหิน นำภาพคลิปเมียหลวงบุกตบสาวขายบริการ มาโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว Anantarak Pathin

ระบุว่า “คนส่งคลิปมาร้องเรียนบอกรับไม่ได้ ตบสนั่นกลางเกาะภูเก็ต ไม่รู้ไปโกรธอะไรมาตบไม่ยั้งเลย เจ้าหน้าที่ว่าไงครับ” และในเวลาต่อมาได้ออกมาโพสต์อีกครั้งสั้นๆ ว่า “ไม่จริง !!! มือตบโหดเป็นข้าราชการ #ไม่นะ”

โดยในคลิปเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงสาวชุดกระโปรงสีดำ บุกเข้าไปตบตีหญิงสาวที่นุ่งเพียงผ้าเช็ดตัว ในขณะที่ครูกรณีเพียงยกมือไหว้ และพูดซ้ำๆ ว่า “พี่หนูขอโทษ พี่อย่าทำหนู พี่หนูมาขายตัวครั้งแรก” แต่ก็ไม่ทำให้ผู้ก่อเหตุใจเย็นลง แต่สถานการณ์กลับรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เธอถูกดึงผ้าเช็คตัวออกจนร่างกายเปลือยเปล่า ทำร้ายร่างกายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในช่วงหนึ่งถึงกับยกเท้าขึ้นมาตบหน้า อีกทั้งเหตุการณ์ทั้งหมดยังถูกถ่ายคลิปไว้โดยเพื่อนของผู้ก่อเหตุด้วย

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม คลิ๊กเลย >> ปลัด พม. ให้กำลังใจไรเดอร์พิการทำงานหาเลี้ยงตนเอง วอนสังคมให้โอกาส

บริษัทโอเพ่น เอไอ (OpenAI) ผู้ผลิตโปรแกรมแชทบอทปัญญาประดิษฐ์ แชทจีพีที (ChatGPT) เปิดตัวเครื่องมือช่วยครูอาจารย์ตรวจจับชิ้นงานที่พึ่งพาระบบปัญญาประดิษฐ์

หลังจากโปรแกรมดังกล่าวตกเป็นเป้าโจมตีว่าสิ่งนี้อาจเป็นเครื่องมือในการโกงข้อสอบในงานเขียนของนักเรียนและนักศึกษาระบบดังกล่าวมีชื่อว่า AI Text Classifier ได้รับการเปิดตัวในวันอังคาร หลังจากผ่านพ้นหลายสัปดาห์ในการหารือกับสถานศึกษาเกี่ยวกับความกังวลว่าศักยภาพของแชทจีพีทีในการเขียนที่คล้ายกับมนุษย์จะทำให้เกิดการทุจริตในการสอบและกระทบต่อการเรียนรู้ แต่ทางโอเพ่น เอไอ ระบุว่าระบบดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์นัก และยังต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของครูผู้สอนด้วย

ครูอาจารย์และนักศึกษาเป็นหนึ่งในผู้คนนับล้านที่สัมผัสประสบการณ์การใช้โปรแกรมแชทบอทปัญญาประดิษฐ์ แชทจีพีที ที่เปิดตัวเมื่อ 30 พฤศจิกายน ซึ่งหลายคนทึ่งกับศักยภาพและความสร้างสรรค์ของมัน แต่ได้สร้างความกังวลต่อนักการศึกษาหากมีการนำไปใช้ในการที่ผิด

จนเมื่อต้นปีนี้ มหานครนิวยอร์ก นครลอสแอนเจลิส นครซีแอตเติล และเขตพื้นที่การศึกษาใหญ่หลายแห่งในอเมริกา เริ่มห้ามใช้ระบบดังกล่าวในห้องเรียนและกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ของสถานศึกษา

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม คลิ๊กเลย >> Elon Musk ส่งเมลขอพบพนักงานที่ยังเหลืออยู่ เพื่อหารือเทคโนโลยีหลังบ้าน

Elon Musk ส่งเมลขอพบพนักงานที่ยังเหลืออยู่ เพื่อหารือเทคโนโลยีหลังบ้านของ Twitter

พนักงานทวิตเตอร์แห่ลาออกเยอะเกินคาด ส่งผลให้ อีลอน มัสก์ ผู้ขีดเส้นตายเรื่องโปรเจกต์ทวิตเตอร์ 2.0 เจอปัญหาใหม่ เพราะไม่แน่ใจว่ายังมีพนักงานคนไหนเหลืออยู่ในบริษัทบ้าง เนื่องจากเจ้าตัวต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับระบบหลังบ้านของทวิตเตอร์

อีลอน มัสก์ เจ้าของและซีอีโอของทวิตเตอร์ กำลังมองหาความช่วยเหลือจากพนักงานทวิตเตอร์ที่ยังเหลืออยู่ในบริษัทอย่างเร่งด่วน เพื่อปรึกษาและขอคำแนะนำเกี่ยวกับซอฟต์แวร์หลังบ้านของทวิตเตอร์

รายงานของ บิสซิเนส อินไซเดอร์ ระบุว่า ช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนวันศุกร์ตามเวลามาตรฐานแปซิฟิก มัสก์ได้ส่งอีเมลที่มีใจความสำคัญว่าต้องการพบกับพนักงานคนใดก็ได้ที่มีความรู้ด้านการเขียนซอฟต์แวร์ มาพบกับตัวเขาที่สำนักงานใหญ่ของทวิตเตอร์ในซานฟรานซิสโก ชั้น 10 เวลาบ่ายสองโมงตรง

พร้อมกันนี้ พนักงานที่จะมาเข้าพบ มัสก์ได้ขอให้พนักงานคนคนนั้นสรุปประเด็นสำคัญของโค้ดที่เขียนในช่วง 6 เดือนหลังสุดมาด้วย รวมถึงทำให้แคปเจอร์หน้าจอสกรีนช็อตของโค้ดที่สำคัญแนบมาด้วย

อีเมลฉบับนี้ของมัสก์มีขึ้นหลังจากพนักงานทวิตเตอร์จำนวนมากประกาศจุดยืนไม่ขอไปต่อกับทวิตเตอร์ 2.0 ที่อีลอน มัสก์ เคยประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งประเด็นสำคัญของทวิตเตอร์ 2.0 เป็นการทำงานในโหมดฮาร์ดคอร์ แบบเดียวกับที่มัสก์เคยสั่งการกับเทสลา และสเปซเอ็กซ์

ไม่นานหลังจากมีอีเมลฉบับแรก ฉบับที่สองก็ตามมา ซึ่งฉบับนี้มัสก์เขียนว่า พนักงานคนใดที่ทำงานอยู่ที่บ้าน แล้วมีข้อมูลและสกรีนช็อตตรงตามข้อมูลในอีเมลฉบับแรก สามารถพูดคุยกับตัวเขาได้เลยผ่านวิดีโอคอล

นอกจากนี้ กรณีที่พนักงานคนนั้นไม่ได้อยู่ในซานฟรานซิสโก สามารถบินตรงมาพบกับมัสก์ ตัวต่อตัวได้เลยที่สำนักงานใหญ่ของทวิตเตอร์ ซึ่งเงินสำหรับค่าเดินทางมายังซานฟรานซิสโก สามารถเบิกกับบริษัทได้

จนถึงเวลานี้ยังไม่มีความแน่ชัดว่า พนักงานทวิตเตอร์ที่ไปต่อกับโครงการทวิตเตอร์ 2.0 มีมากน้อยแค่ไหน

ทางด้านข้อมูลที่อยู่ในมือของบิสซิเนส อินไซเดอร์ ระบุว่า ตอนนี้หลายแผนกของทวิตเตอร์ที่มีคนทำงานอยู่ก็เหลือน้อยนิด แต่ในบางแผนกไม่มีคนทำงานแล้ว เช่น แผนกสื่อสาร, แผนกความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล และพนักงานที่ดูแลด้านการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งาน เป็นต้น